5 แนวทางแก้นิสัยขี้โมโหให้เปลี่ยนเป็นคนใจเย็นขึ้น

[Fern751]

5 วิธีแก้นิสัยคนขีโมโหให้เปลี่ยนเป็นคนใจเย็น(กว่าเดิม)

1. ระงับคำพูดรวมทั้งความประพฤติในยามที่โกรธคือถ้าเกิดมีความคิดว่า อารมณ์กำลังพล่าน


ให้สงบนิ่งไว้ จดจำไว้เสมอว่า...ความนึกคิดอะไรก็ตามคำบอกเล่าใดๆพฤติกรรมใดๆถ้ามีขึ้นในยามโก รธ


มักเป็นไปในทางทำลายรุ นแร งอาจหนำใจสักครู่ แต่ในที่สุดจะไม่เป็นผลดี

ก ฏเหล็กเบื้องต้นที่จำต้องทำให้ได้เป็น...เราจะไม่บอกหรือทำอะไรเด็ดข าดในย ามที่โกร ธ

คอยให้ใจเย็นก่อน หายโก รธก่อนแล้วค่อยว่ากัน

2. ใคร่ครวญโท ษของความโก รธรวมทั้งประโยชน์ซึ่งมาจากความเมตตากรุณาคือให้ย้อนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา

ว่าเราเสียอะไรไปบ้างด้วยเหตุว่าความโก รธทำคนใดกันเศร้าใจกี่คน ทำลายโอกาสได้ไปมากแค่ไหน

ทำลายความสัมพันธ์ไปอย่างไรสิ่งกลุ่มนี้ให้ก้มมาคิดเป็นประจำคิดซ้ำให้มากมายๆ


พิจารณาจนปัญญาสารภาพ หมดคำกล่าวอ้างอย ากปรับปรุงตัวเองอย่างเต็มใจ


ด้วยเหตุว่าเชื่อมั่นแล้วว่า ความโมโหไม่ใช่ของดีแม้กระนั้นเป็นสิ่งที่ทำลายความสุขแล้วก็ความก้าวหน้า

ทั้งยังของพวกเรา คนที่พวกเรารัก และคนที่รักพวกเราไม่มีใครได้อะไรเลยจากความโก รธ

ธรรมชาติคนพวกเราไม่ชอบให้คนไหนกันแน่มาสั่งตราบที่พวกเรายังไม่ต กผลึ กยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยตนเองว่า

ถึงเวลาแล้วที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใครกันแน่จะพูดผู้ใดกันแน่จะบอกจะสอนก็ย ากยิ่งที่คนเราจะเปลี่ยนแปลง

เช่นนี้แล้ว เราก็เลยจะต้องประพฤติตนเป็นคุณครูของตนเพื่อสั่งสอนตัวเองให้เห็นพิ ษภั ยของความโก รธชิงชังอารมณ์ทำลาย

3. สร้างความสุขนิดๆหน่อยๆให้ผู้อื่นจนกระทั่งเป็นนิสัยคือให้รู้จักชื่นชม ให้กำลังใจผู้คนบ่อยๆ

เมื่อทำให้เขาแฮปปี้แล้วให้เรารู้จักเอาใจไปสัมผัสความรู้สึกนั้นเรียกว่า ให้จิตใจพวกเราจับใจ

กับความรู้สึกที่เย็นใจอยู่เป็นประจำพวกเราบางทีอาจจะทดลองเปรียบกันดูก็ได้ว่าอารมณ์รูปแบบนี้ กับอารมณ์ในยามที่โก รธ

แบบไหนดีมากยิ่งกว่ากันถ้าเกิดดวงใจเราคุ้นกับความรู้สึกที่ดีมันจะเบาๆเหนื่อยหน่ายความโมโหไม่ชอบชิ งชั งไปทีละเล็กละน้อย

ในข้อนี้เป็นการแ ก้กิเล สด้วยกุศ ลฝั่งตรงข้ามถ้าเกิดความขุ่นเคืองเป็นด้านมืดในที่นี้ด้านสว่างก็คือความกรุณาปรานี

เราบางทีอาจขับไล่ไสส่งความมืดมนมิได้แม้กระนั้นถ้าหากพวกเราจุ ดไ ฟได้ ความมืดดำจะหายไปและก็ความสว่างจะเข้ามาแทนที่

ภาษาธรรมเรียกสิ่งนี้ว่า การทวนกระแสกิเล สเป็นใช้ธรรมคู่ตรงข้ามมาจัดการกิเล สให้บางเบา


4. ฝึกหัดดูความรู้สึกด้วยความเต็มใจที่เป็นกลางในข้อนี้คือธรรมะชั้นลึก เป็นการเจริญสติ


คือพวกเราฝึกหัดมองดูอารมณ์ต่างๆของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจที่เป็นกลางราวกับความคิดความรู้สึกนั้นไม่ใช่เรา

ดีใจก็ไม่เข้าไป เศร้าใจก็ไม่เข้าไปคนชื่นชมก็วางไว้ คนนินทาก็วางไว้ฝึกหัดให้มีความเห็นว่าอารมณ์ความนึกคิดกลุ่มนี้

แม้ดวงใจเราเข้าไปยึดสุดท้ายก็ไม่ดีทั้งนั้นด้วยเหตุว่ายึดข้างหนึ่ง อีกข้างก็จะตามมาด้วยราวกับในกำเหรียญเอาไว้ในมือ

ก็จะได้อีกทั้งหัวอีกทั้งก้อยมาในคราเดียวรักสุขก็จะได้ทุ กข์เป็นของแถมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในข้อนี้ถ้าเกิดฝึกเป็นประจำเว้นเสียแต่ความโกรธเคืองแล้วยังช่วยกำจัดตัดทอนพลังความคิดด้านล บได้ทั้งปวง

ดังเช่นความหม่นหมองความอ้างว้างความเหนื่อยหน่ายต่างๆจิตใจจะเป็นกลาง หนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ

5. รู้จักอยู่ รู้จักข้อเสียจุดแข็ งของตนเองคือให้รู้จักสังเกตตนเองถ้าพวกเราโก รธคนไหนเป็นประจำ

เวลาอยู่ใกล้ก็ให้ระวังบางคราว กับคนบางคนให้สังเกตดูเถอะว่า เราก็โกรธเขา

โกรธคนๆนี้ จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นความเคยชินเพียงแต่มองเห็นหน้ายังไม่ทันทำอะไร

จิตใจก็วูบๆไหวๆความอารมณ์เสียก็เริ่มเข้ามาที่ตรงนี้ควรจะเลี่ยงการประจันหน้าทั้งนี้ในเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ

เป็นต้นว่าเป็นคนในครอบครัว เป็นสามีภรรย าเป็นลูก เป็นนายจ้าง ลูกน้อง เพื่อนเกลอ แบบงี้ก็ให้ชูเอาสิ่งที่เขาทำขั ดดวงใจพวกเรา

มาเป็นสิ่งที่ใช้ในการฝึกใจของพวกเรา ฝึกหัดอภั ยดีมากกว่าปล่อยใจของเราให้ต กต่ำไป

เพราะว่ามัวแต่เถียงกับเขาให้เอาความขัดแย้ งนั้นมาบ่มเพาะความรัก เมตตาขอให้เราทราบไว้ว่า ส่วนมากแล้ว

ถ้าไม่ลงรอยกันแม้กระนั้นมีความจำเป็นจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันตัดกันไม่ข าด แย กกันไม่ข าดสิ่งนี้มักเกิดขึ้นจากมีบุญก ร ร ม

สัมพันธ์ด้วยกันมานานกลายเป็นแรงก ร ร มผูกพัน ผู กรั้งไม่ให้ไปไหนแบบงี้ยิ่งจะต้องรู้จักระวัง หยุด สำรวม

อย่าไปก่อเวรให้กันและกันเพิ่มขึ้นการเป็นคนโมโหง่าย ไม่มีอะไรดีมีแต่เสียผลดี เสียทั้งสุขภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกายจิตใจ

ทำลายความเชื่อมโยง ทำลายหน้าที่การงานทำลายบารมีในตนเปลี่ยนเป็นคนที่สร้างความทุ กข์ให้ผู้อื่น

และตนเองก็กล่าวโทษสุขได้ย าก5 ข้อนี้ ฝึกหัดแรกๆจะทำได้ย ากแต่ว่าขอให้ทรหดอดทนฝึกหัดทำทุกข้ออย่างสม่ำเสมอ

สำคัญเป็นจะต้องมีพลังใจ และก็ระเบียบฝึกฝนแรกๆอย่าปล่อยใจตามความคุ้นเคยของตนเองสุดท้ายแล้วพวกเราควรมีความเข้าใจว่า

การลดมานะอัตตาของตนเองลดความโมโหชังของตัวเองเราไม่ได้ทำเพื่อใครแม้กระนั้นพวกเราทำเพื่อยกระดับจิตใจของตนเอง

เพื่อความสำราญของเราเองจริงอยู่สิ่งนี้ไม่ใช่ของง่าย แต่ว่าถ้าหากทำได้วันหนึ่ง รู้จะสัมผัสถึงความเบาใจของชีวิต

มีชีวิตที่เบาขึ้น สบายขึ้นถึงวันนั้นพวกเราจะยินดี และรู้สึกขอบคุณมากตัวเองรู้สึกยินดีว่า พวกเราสามารถผ่านผ่านตัวตนเก่าๆ

ไปสู่ตัวตนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมรวมทั้งสิ่งนี้เป็นการมอบความรักและความกรุณาปรานีให้ตัวเองอย่างแท้จริง...

ใจเย็นขึ้น
ขอบคุณบทความจาก https://freelydays.com/12886/